ฮันนีมูนครึ่งเดียว เพื่อนรักต้านไม่ไหว

ฮันนีมูนครึ่งเดียว เพื่อนรักต้านไม่ไหว

น้ำผึ้งหยดเดียวแค่จังหวะการล้มของมาร์คัส แรชฟอร์ดหลังถูกไคล์ วอล์กเกอร์ดึง (แล้วปล่อย) ลุกลามจนชัยชนะเปลี่ยนข้างมาอยู่ฝั่ง แมนฯซิตี้ ทันที

แนวรับของ แมนฯยูฯ ที่ว่ากันว่าครึ่งแรกเปรียบเสมือน “กำแพงเหล็ก” ถูกทะลวง 3 ประตูอย่างง่ายดาย

ถามว่าลูกของ แรชฟอร์ด ควรได้ฟาว์ลไหม?

ถ้าอยากได้คำตอบในฐานะแฟน “หงส์” ที่กำลังเอาใจช่วย แมนฯยูฯ

ก็ต้องบอกว่าแม่งต้องฟาว์ล 100 % ครับ!!

แต่ถ้าเอาคำตอบแบบตั้งสติมองเกมทั่วไป วอล์กเกอร์ตุกติกเพลย์นี้ได้ฉลาดและทำได้ max สุดเท่าที่กฏจะอนุญาตให้ทำ

กล่าวคือดึงแล้วรีบปล่อย หากมากกว่านั้นนอกจากฟาว์ลแล้วไม่รู้ว่าจะได้ใบอะไรด้วย

จริงๆแล้วผมอยากใช้คำว่า “คว้า” มากกว่า “ดึง” เหมือนคนทวงตังค์เพื่อนที่ยืนหันหลังแล้วเรียกเพื่อให้หันมามากกว่า

ในขณะที่ แรชฟอร์ด อาศัยจังหวะนี้ (ที่ผมมองว่า soft มากในระดับบอลอาชีพ) ทิ้งตัวเพื่อขอลุ้นเอาฟรีคิก

ภาพที่ออกมาในสายตาผู้ตัดสินและห้อง VAR ดูค่อนข้างง่ายครับ ถูกดึงแล้วยังสามารถวิ่งได้ต่อก่อนเล่นง่ายล้มเอาฟรีคิกในวินาทีต่อมา

อีกจุดที่ผมอยากให้ทุกท่านเอามาประกอบการพิจารณาคือหลายๆจังหวะก่อนหน้านี้เมื่อ แรช vs ไคล์ เราจะเห็นได้ว่าสปีดของแบ็คทีมชาติอังกฤษไล่กวดได้ทุกการเข้าแย่ง

สำคัญตรงที่ส่วนใหญ่มักชนะเนื่องจาก วอล์กเกอร์ ใช้ physical เข้าชนเข้าแย่งร่วมด้วย

ตรงกันข้ามกับ แรชฟอร์ด ที่อ้อนแอ้นเล่นเนือยๆไม่ใส่ passion ในการเข้าบอล ซึ่งที่ผ่านๆมาแฟนผีเขาก็เอือมระอากันหมด แบบนี้เอาชนะวอล์กเกอร์ยากครับ

ทางเลือกสุดท้ายในการถูกวอล์กเกอร์ไล่หลังมาติดๆ (และอาจจะวิ่งแซงในไม่ช้าคือล้มเอาฟาว์ลเมื่อเห็นว่ามีการดึงเกิดขึ้น)

จากจังหวะนี้เองที่การ build up ในอีก 30 วินาทีต่อมาของ แมนฯซิตี้ กลายเป็นประตูสุดท้ายของ ฟิล โฟเด้น ทันที

ช่วงฮันนีมูนหวานชื่นของทั้ง แมนฯยูฯ และ ลิเวอร์พูล ถึงคราวจบสิ้น

ครึ่งแรกเจียนอยู่เจียนไปโดนล่อเป้า 18 หนแต่ ซิตี้ ตีนบอดเข้ากรอบแค่ 3 โดย 1 ในนั้นเป็นลูกยิงจ่อๆ 2 หลาของ ฮาลันด์ ที่ต้องบอกว่ายิงออกยังยากกว่า

ในขณะที่ ยูไนเต็ด มีโอกาสแค่ 2 เข้ากรอบ 1 ครั้งและเป็นประตูทันทีจากการยิงหนแรกด้วย!!

ประตู “ผีจับยัด” ที่ยิงอีก 100 หนก็ไม่น่าจะเข้าของ “ดร.แรช” เข้าทาง ยูไนเต็ด เต็มๆในการเลือกเล่นแกะเพรสของเจ้าถิ่นได้อย่างไม่ต้องรีบร้อนและมีเพื่อนยืนให้เห็นมาคอยเอาบอลตลอดเวลา

โดยส่วนตัวผมมองว่าฤดูกาลนี้ยามออกนอกบ้านถ้าสกอร์นำหรือไม่เป็นรอง “ปีศาจแดง” มีวินัยและเล่นนิ่งกว่าเฝ้าโอลด์แทรฟฟอร์ดค่อนข้างชัด

หนึ่งในเหตุผลที่ว่าคือการคุมโซนยืนต่ำทำให้แนวรับไม่ต้องสปีดเยอะ, รอบด้านมีเพื่อนคอยรองช่วยหลายตัวและจ่ายง่ายกว่าเมื่อถึงจังหวะที่ได้ครองบอล

ถ้าบอลตามหลังเราไม่มีทางเห็นการวิ่งไล่ลืมตายของเด็กๆ ETH แน่นอน บางทีเห็นแล้วก็ตกใจกับการเดินทอดน่องเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

การถูกนวดในครึ่งแรกกับครึ่งหลังต่างกันตรงที่การยืนระยะ การประกบตัวหลวมขึ้นจนเป็นที่มาของประตู 2-1 ของ ฟิล โฟเด้น ซึ่งวิ่งทำทางเข้าเขตโทษแบบฟรีๆไม่มีใครเข้าประกบ

ก่อนมาโดนตอกฝาโลงจากตัวสำรองอัมราบัตเงอะงะโดนฉกไปยิงดื้อๆ แม้ส่วนนึงผมมองว่า คาเซมิโร่ ส่งบอลมาให้เล่นยากเกินไปด้วย

2 ประตูใน 11 นาทีตาสไตล์กัดไม่ปล่อยของ แมนฯซิตี้ แทบไม่เคยเห็นใครรอดจากเอติฮัดซักราย ยิ่งเพื่อนบ้านปล่อยจอยยอมมอบตัวก็จบกันไปครับ

จากนี้การวิ่งเต้นเพื่อกลับไปคั่วพื้นที่ UCL ของลูกทีม ETH ยังอยู่ในระดับหนักมากๆกับ 11 แต้มที่ตามหลัง แอสตัน วิลล่า

สำหรับแฟน “หงส์” วันนี้เพื่อนรักเขาทำเต็มที่แล้วแต่ต้านไม่ไหวจริงๆ เราก็ต้องยืนด้วยลำแข้งตัวเองกันแล้วล่ะครับ

บิ๊กแมทช์วันอาทิตย์ที่ 10 ณ แอนฟิลด์มี “จ่าฝูง” และโทร์ฟี่ย์แชมป์เป็นเดิมพัน

ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน วลีอมตะใช้ได้กับทุกสถานการณ์เช่นเดิมครับ…

สถิติ สถิติ สถิติ

แมนฯยูฯ แพ้ในพรีเมียร์ลีกหากขึ้นนำในครึ่งแรกเป็นหนแรกนับตั้งแต่กันยายน 2014 (เจอเลสเตอร์และแพ้ 5-3) ยุติสถิติสวยหรู 143 เกมไร้พ่ายหากขึ้นนำก่อนพักครึ่ง (ชนะ 123 เสมอ 20)

เป็นครั้งแรกในพรีเมียร์ลีกที่ แมนฯซิตี้ พลิกกลับมาชนะ แมนฯยูฯ จากสกอร์ตามหลังโดยก่อนหน้านั้น 29 หนพวกเขาไม่แพ้ก็เสมอเท่านั้น (เสมอ 3 แพ้ 25) และหนักว่านั้น 15 นัดหลังแพ้รวดจนกระทั่งปลดล็อกเกมนี้

นับตั้งแต่ออกสต๊าร์ตเมื่อฤดูกาลที่แล้ว นักเตะที่ยิงใส่คู่ต่อสู้ทีมเดียวมากที่สุดในพรีเมียร์ลีกได้แก่

– 6 ประตู ฮาลันด์ vs แมนฯยูฯ

– 6 ประตู โฟเด้น vs แมนฯยูฯ

ฟิล โฟเด้น ยิง 17 ประตูในทุกรายการให้ แมนฯซิตี้ ฤดูกาลนี้ ถือว่ามากที่สุดของเจ้าตัวใน 1 ซีซั่นและหากนับเฉพาะประตูที่ไม่มีจุดโทษแข้งทีมชาติอังกฤษเป็นรองแค่ ฮาลันด์ (22 ประตู) และ วัตกินส์ (21) เท่านั้น

ซิตี้มีโอกาสยิง 18 หนในครึ่งแรกซึ่งนับตั้งแต่มีการเก็บสถิติเมื่อปี 2003-04 นี่้ป็นตัวเลขสูงสุดร่วมกับ แมนฯยูฯ ที่เคยส่อง ฟูแล่ม ด้วยจำนวน 18 หนเท่ากัน (2009)

เป็นหนที่ 12 แล้วที่ “เรือใบ” ตามหลังคู่ต่อสู้ในพรีเมียร์ลีก มีเพียงฤดูกาล 2019-20 (13) ที่ภายใต้การทำทีมของเป๊ปโดนยิงก่อนมากกว่าครั้งไหนๆและนั่นคือหนสุดท้ายที่พวกเขาไม่ได้แชมป์ลีกอีกด้วย

มาร์คัส แรชฟอร์ดยิงประตู แมนฯซิตี้ ในพรีเมียร์ลีกไปแล้ว 5 ประตู มีเพียง เวย์น รูนีย์ (8) และ เอริค คันโตน่า (7) เท่านั้นที่ทำได้มากกว่า

ยูไนเต็ด ได้โอกาสยิงแค่ 3 หนเท่านั้นในเกมนี้ โดยที่น้อยกว่านั้นคือเจอ ลิเวอร์พูล เมื่อปี 2022 มีโอกาสแค่ 2 เท่านั้น

ที่มา: soccersuck

ความคิดเห็น

ความคิดเห็น

จำนวนคนดู: