มือปราบกระทิง : ยาสซีน โบโน

มือปราบกระทิง : ยาสซีน โบโน

ยาสซีน โบโน คือนักเตะคนสุดท้ายที่เดินออกจากห้องแต่งตัวของทีมชาติโมร็อกโก เมื่อคืนที่ผ่านมา ชัดเจนว่าจิตใจของเขาอ่อนล้า แต่ก็แฝงไปด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า

และนั่นก็เพราะว่า โบโน คือหนึ่งในคนที่น่ารักที่สุดในวงการฟุตบอล คล้อยหลังจากทำผลงานหยุดทีมชาติสเปน ในรอบ 16 ทีม ฟุตบอลโลก 2022 ไปกว่า 2 ชั่วโมง งานของเขาก็ยังไม่จบสิ้น

โบโน่ ยังเอ่ยปากให้สัมภาษณ์กับบรรดานักข่าวทุกคนที่เข้ามารุมล้อมแบบไม่เหนื่อยล้า ไม่ว่าจะเป็นกับสถานีวิทยุ, โทรศัพท์, หนังสือพิมพ์ ทั้งภาษาอังกฤษ, สแปนิช, อาราบิก, ฝรั่งเศส

และทุกๆ ครั้ง เขาก็จะระลึกถึงผลงานประดุจฮีโร่ที่โชว์ออกมาระหว่างการเซฟจุดโทษในสนามเอดูเคชั่น ซิตี้ สเตเดี้ยม

“น่าเหลือเชื่อจริงๆ” มือกาวร่างโย่ง เผยกับสำนักข่าวอีเอสพีเอ็น”

“เป็นช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ ผมไม่ได้เตรียมพร้อมสำหรับการยิงจุดโทษมากเท่าไหร่นักหรอก ในเกมการแข่งขันมีความกดดันมหาศาล ผมก็แค่พยายามเอ็นจอยไปกับมัน”

“สำหรับจุดโทษนั้น มันอยู่ที่สัญชาตญาณ มีโชคช่วยนิดหน่อย ก็แค่นี้แหล่ะ ไม่ได้มีอะไรมากมายนักหรอกครับ”

“ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะรักษาสมาธิเต็ม 120 นาที กับทีมชาติสเปนที่ครองบอลได้อย่างหมดจด เป็นทีมที่เน้นการครองบอลเป็นหลัก เมื่อคุณอยู่ในโมเมนต์แบบนี้ บางทีมันก็ตระหนักได้ยาก เราพยายามหลบเลี่ยงเสียงเซ็งแซ่รอบตัว โฟกัสอยู่กับตัวเอง งานของเรา”

ทุกๆ ครั้งที่เขาเอ่ยปากพูด เสียงอันนุ่มลึกและสุภาพของเขาจะเปล่งประกายออกมาว่าผลการแข่งขันอันเป็นตำนานนี้ มันมีความหมายต่อตัวเขา, เพื่อนร่วมทีม และประชาชนร่วมชาติมากขนาดไหน

“เรามีความสุขไปกับแฟนๆ ไปกับคนของเรา ไปกับครอบครัวของเรา” โบโน เผยอย่างมีความสุข

“เราเริ่มตระหนักได้นะว่า ชัยชนะครั้งนี้แสดงให้เห็นอะไรของโมร็อกโก จากทั่วทั้งโลก เราสัมผัสได้ถึงแรงเชียร์อันน่าเหลือเชื่อจากแฟนๆของเรา และเราก็เอามันมาใช้ในวันนี้”

“พวกเรารู้สึกถึงแรงเชียร์จากแฟนๆ ในโมร็อกโก และทั่วทุกแห่ง มันทำให้เรามีโมเมนตั้มในสนามแห่งนี้ ในฐานะตัวแทนนักเตะทุกคน ผมอยากขอบคุณแฟนๆ ที่ช่วยเราในภารกิจนี้ ผมขอแสดงความยินดีต่อนักเตะทุกคน ผมขอมอบของขวัญชิ้นนี้ให้แก่ชาวโมร็อกกันทุกคน”

ไม่ว่า ยอดทีมจากแอฟริกา จะเอาชนะ โปรตุเกส ในรอบก่อนรองชนะเลิศ ได้หรือเปล่า แต่โบโน จะเป็นฮีโร่ไปตลอดกาลอย่างแน่นอน

“สิงโตแห่งแอตลาส” ผ่านเข้าถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายเวิลด์ คัพ เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ และต้องขอบคุณเขาเป็นอย่างมาก เพราะเซฟจุดโทษของทั้ง การ์ลอส โซเลร์ และเซร์คิโอ บุสเก็ตส์ และหากลูกยิงของ ปาโบล ซาราเบีย ไม่ไปชนเสา โบโน่ ก็พุ่งไปถูกทางอยู่ดีและมีสิทธิ์ที่จะปัดป้องได้หากบอลตรงกรอบ

นายด่านจากเซบีญ่า เจ้าของส่วนสูง 1.92 เมตร เป็นจอมเซฟจุดโทษคนหนึ่ง เขาเคยเซฟลูกยิงจากระยะ 12 หลา 2 หนในเกมเดียวกันมาแล้ว นัดพบ เอฟซี ซัลซ์บวร์ก ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อเดือนกันยายน 2021

และภายในปฏิทินการแข่งขันปี 2021 เขาทำผลงานเซฟจุดโทษไปถึง 5 จาก 13 ครั้งที่ลงทำหน้าที่ แน่นอนว่ามันเป็นสถิติชั้นดีเลยทีเดียว

บางที อาจเป็นเพราะ วาลิด เรเกรกุย เชื่อมั่นในผู้รักษาประตูของเขามาก หรืออาจเป็นเพราะเขาไม่อยากให้เสียบรรยากาศ นายใหญ่โมร็อกโก เลยไม่ได้ร้องขอให้ลูกทีมซ้อมยิงจุดโทษในวันก่อนลงสนาม

เขาปล่อยให้บรรดาลูกทีมซ้อมไปเบาๆ แล้วมันก็ส่งผลออกมาได้ดีเหมือนกัน

โรแมง ซาอิสส์ กองหลังกัปตันทีม กล่าวชื่นชม โบโน ว่า “สำหรับเขาแล้วมันน่าอัศจรรย์มาก”

“เขาเป็นฮีโร่ของเกมในวันนี้ ไม่ใช่แค่ระหว่างการดวลจุดโทษเพียงเท่านั้น เขาแค่อยากโชว์ให้เห็นว่าทำไมถึงได้รับเลือกเป็นผู้รักษาประตูแห่งฤดูกาลของลา ลีกา เมื่อซีซั่นที่แล้ว”

“เขาคือยอดผู้รักษาประตู เขาพิสูจน์ให้เห็นกับสเปน เราเป็นหนี้เขาเยอะมากในเกมวันนี้”

ซาอิสส์ กับ โบโน เล่นด้วยกันมานานหลายปี ซึ่งจอมหนึบวัย 31 ปี แตกต่างจากหัวหน้าทีมของเขา เพราะเขาค่อนข้างเก็บตัว สงบเสงี่ยม เงียบขริม แต่ก็เต็มไปด้วยประสิทธิภาพ

ประตูเดียวที่เขาเสียไปในฟุตบอลโลกหนนี้ เป็นการยิงเข้าประตูของเพื่อนร่วมทีมอย่าง นาเยฟ อาเกิร์ด ในเกมพบแคนาดา

การประสานงานร่วมกันระหว่าง อาชราฟ ฮาคิมี่, อาเกิร์ด และนุสเซียร์ มาซราอุย นั้น ทำให้ ซาอิสส์ ฟอร์มแนวรับที่ดีที่สุดในการแข่งขันรายการนี้ออกมา

ขณะที่โบโน ก็สั่งการแผลแบ็คโฟร์หน้าพวกเขาได้เป็นอย่างดี เขามีคุณสมบัติของความเป็นผู้นำตามธรรมชาติ แม้ไม่ใช่คนที่ชอบพูดมากหรือมีปากมีเสียงสักเท่าไหร่นัก

“เราไว้วางใจเขานะ” อัซเซดีน อูนาฮี ห้องเครื่องของโมร็อกโก กล่าวกับสำนักข่าวอเมริกันเจ้าเดิม

“เรารู้ดีว่าเขาคือผู้รักษาประตูฝีมือเยี่ยม เราทราบดีว่าหากเราต้องยิงจุดโทษ เขาก็จะทำงานให้เราได้เป็นอย่างดี และเขาก็ทำได้ สเปน ยิงไม่เข้าสักลูกเดียว”

“เขาคือหนึ่งในผู้รักษาประตูที่เก่งที่สุดในโลก และเขาก็พิสูจน์ให้ทั่วโลกได้เห็นแล้วในเกมวันนี้”

ความเชื่อมั่นและไว้วางใจจาก เรเกรกุย รวมถึงเพื่อนร่วมทัพที่มีต่ออดีตเด็กปั้นของแอตเลติโก มาดริด คือหนึ่งในคีย์หลักสำคัญต่อความสำเร็จของโมร็อกโก ในกาตาร์หนนี้

ในวัย 31 ปีนั้น โบโน มีความฝันมากมายนับตั้งแต่ที่เติบโตขึ้นมาในมหานครมอนทรีอัล แคนาดา เขาเริ่มซ้อมฟุตบอลกับเอฟซี มอนทรีอัล (ที่ต่อมาเปลี่ยนเป็น มอนทรีอัล อิมแพ็ค) ก่อนที่จะจบชั้นเรียนลูกหนังกับทีมเยาวชนของวีดาด ในคาซาบลังก้า ประเทศแม่ของตัวเอง

เขาเริ่มต้นประเดิมทีมชุดใหญ่เมื่อปี 2011 กับ วีดาด ที่มีเอซซากิ บาดู อดีตนายประตูที่ลงเล่นฟุตบอลโลก 1986 ก่อนพาทีมถึงรอบน็อคเอ้าท์ เป็นกุนซือ จากนั้น ในปีต่อมา โบโน ย้ายไปเล่นให้ “ตราหมี”

แม้ต้องเริ่มจากทีมสำรองของแอตเลติโก ที่เล่นในเซกุนด้า เบ เขาก็ก้าวขึ้นมาเฝ้าเสาให้ทีมได้ในท้ายที่สุดหลังจาก ติโบต์ กูร์กตัวส์ และ แดเนี่ยล อรันซูเบีย ย้ายออกจากสโมสรไป

เมื่อปี 2014 เขาโดนส่งไปให้ เรอัล ซาราโกซ่า ยืมตัว ก่อนทำผลงานเหนียวหนึบพาทีมเลื่อนชั้นกลับมาเล่นในลา ลีกา และจุดหมายต่อไปของเขาคือการย้ายไป กิโรน่า เมื่อปี 2016 ที่เขาช่วยให้ทีมเลื่อนชั้นกลับมาเล่นในลีกสูงสุด และกลายเป็นนายประตูคนสำคัญของสโมสร

กับเซบีญ่า ที่เขาย้ายจากกิโรน่า มาเฝ้าเสาให้ตอนปี 2019 เขาก็ประสบความสำเร็จในสิ่งที่ยิ่งใหญ่มากมาย คว้าแชมป์รายการใหญ่อย่าง ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก มาครอง

ตอนนี้ เขาต้องการประสบความสำเร็จกับโมร็อกโก และเขาจะมั่นใจว่า ตัวเองและเพื่อนร่วมทัพ จะสามารถโชว์ความพยายามออกมาได้ยามต้องเผชิญหน้ากับพลพรรค “ฝอยทอง” วันเสาร์นี้

แม้ชาวโมร็อกกัน เฉลิมฉลองใหญ่ทั่วโลกในค่ำคืนที่ผ่านมา แต่สำหรับ โบโนแล้ว ภารกิจของเขาจะเริ่มต้นอีกครั้ง เมื่อเสียงนกหวีดเกมพบ โปรตุเกส ดังขึ้นที่สนามอัล ธูมาม่า สเตเดี้ยม

ที่มา: soccersuck

ความคิดเห็น

ความคิดเห็น

จำนวนคนดู: