ดราม่าโคตรเดือด อาร์เจนฯ-เนเธอร์แลนด์

ดราม่าโคตรเดือด อาร์เจนฯ-เนเธอร์แลนด์

บอลโลกรอบ 8 ทีมสุดท้ายต่อเวลาและดวลจุดโทษทั้ง 2 คู่ด้วยระดับความมันเต็ม 10 ให้ 10 ไม่หัก

โครเอเชีย โค่น “เต็ง 1” บราซิล และ อาร์เจนติน่า ดราม่าเดือดก่อนชนะ เนเธอร์แลนด์

ทั้ง 2 คู่เป็นความเหมือนที่แตกต่างคือ โครเอเชีย ลากมาดวลจุดโทษเพราะรู้ว่าตัวเองมีของอยู่ในมือ

เช่นเดียวกัน “อัศวินสีส้ม” ยื้อถึงขั้นดวลจุดโทษแต่ลืมไปว่าฝั่งตรงข้ามคือ เอมิเลียโน่ มาร์ติเนซ ที่เปิดหัวมา 2 ลูกเก็บกินเซฟรวด จบง่ายตายง่ายกันไป

ย้อนกลับไปคู่แรก บราซิล ต้องเสียน้ำตากันทั้งประเทศหลังอีกแค่ 3 นาทีกำลังจะเข้าตัดเชือกอยู่แล้วแท้ๆ

แต่ดันเผลอเรอไม่รักษาพื้นที่ในแดนตัวเองทั้งแบ็ค(อเล็กซ์ ซานโดร) และกลางรับ (เฟร็ด) หายโดนสวนกลับมาโป้งเดียว 1-1 ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าจะเติมทำไม

เป็นเรื่องลี้ลับเกินอธิบายสำหรับ โครเอเชีย ที่ยิงเข้ากรอบครั้งแรกมันเป็นประตูสำคัญและเป็นประตูที่ลาก “แซมบ้า” มานั่งเก้าอี้ประหาร

เพราะชั่วโมงนี้ไม่มีใครกล้าปฏิเสธแล้วว่าทีม “ตราหมากรุก” คือเจ้าพ่อ 12 หลาเบอร์ 1 ของโลกอย่างแท้จริง

สีหน้าความมั่นใจผิดกันลี้ลับ โครเอเชีย เชื่ออยู่เสมอว่าพวกเขามี โดมินิก ลิวาโควิช ที่มีเทคนิคอ่านทางได้ดีเอามากๆ

กลยุทธ์ที่ผมตั้งชื่อว่า “ตบทรัพย์” ของ โครเอเชีย มาตั้งแต่เกมโค่น ญี่ปุ่น เป็นไม้ตายหากินที่ทีมฝั่งตรงข้ามพยายามเลี่ยงแต่ไม่รอดซักราย

บราซิล เองก็รู้แต่กูรูอย่าง “ฉลามขาว” เยอร์เก้น คลินสมันน์ อดีตกองหน้าทีมชาติ เยอรมัน มองว่าความผิดพลาดของ ติเต้ บอสใหญ่คือการไม่ยอมเปิดหัวจุดโทษด้วยคนที่ยิงดีที่สุดในทีมอย่าง เนย์มาร์ เพื่อกุมความได้เปรียบในการเจอกับ specialist ในการดวลเป้าอย่าง โครเอเชีย

น้ำตาของ เนย์มาร์ มันเป็นความรู้สึกที่เหมือนคนหัวใจสลายเพราะเจ้าตัวรู้ว่าสำหรับคนวัย 30 ปีอย่างเขาปีนี้คือโอกาสที่ดีที่สุดกับการชูถ้วยบอลโลก

อายุ 30 กำลังพอดีคำยังไม่เลยจุดพีคแต่พละกำลังความคล่องตัวอีก 4 ปีข้างหน้าไม่มีอะไรการันตีว่าจะถดถอยมากแค่ไหนและขุมกำลังทั้งของทีมตัวเองและคู่แข่งจะเปลี่ยนไปอย่างไร มันไม่มีใครรู้ได้เลย

นอกเหนืออื่นใดนอกจาก “จุดขาย” การยิงจุดโทษแล้วสิ่งที่ต้องยอมรับทีม โครเอเชีย คือ mastermind แดนกลางที่ทำให้ทีมๆนี้ยืดหยัดต่อกรกับทุกๆทีมในบอลโลกมาตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่ม

ครึ่งแรกเราเห็นแล้วว่าทีม “ตราหมากรุก” ขึงใส่ บราซิล จนคนละชั้นกันไปเลยแต่ด้วยเรี่ยวแรงของทีมที่มีนักเตะสูงวัยหลายคนค่อยๆถูกนวดจนออกอาการในครึ่งหลัง

ผมไม่รู้ว่าเมืองนอกให้ใครเป็น MOM แต่ผมชอบ โยซิป ยูราโนวิช แบ็คขวาวัย 27 ปีของ กลาส์โกว์ เซลติก เอามากๆ

เป็นนักเตะที่เล่นเพื่อทีม หน้าที่เกมรับไม่บกพร่องส่วนเกมรุกการ movment เติมแบบไม่หยุดหย่อนทำให้ ลูก้า โมดริช ที่ยืนกลางเยื้องมาทางขวาแกะเพรสของ บราซิล ได้สบาย

ช็อตเข้าตาคือการวิ่งแซง วินิซิอุส จากด้านหลัง!!

ผมไม่ชัวร์นะแต่แทบไม่เห็น ยูราโนวิช เสียบอลเลย เห็นการเล่นของแกแล้วผมนึกถึง ดานิ คาร์บาฆาล ของ เรอัล มาดริด

อีกคนคือ ยอสโก้ กวาร์ดิโอล กองหลังวัย 20 ปีที่ ไลป์ซิก ยืมมาจาก ดินาโม ซาเกรบ ถูกโลกโซเชี่ยลแซ่ซ้องว่าเป็นกองหลัง “โรลส์รอยซ์” หัวใจในแนวรับหยุดยั้งเหล่าเทพเกมรุกของ บราซิล

ครับแฟน “แซมบ้า” มองหาที่ลงจากการตกรอบบครั้งนี้และชี้เป้าไปที่การเปลี่ยนตัวของ ติเต้ กุนซือ ที่ถอดคนที่เล่นดีโคตรๆอย่าง ลูคัส ปาเกต้า และ มิลิเตา ออกพร้อมกันในช่วงต่อเวลาพิเศษครึ่งหลังก่อนพังรัวๆตรงตำแหน่งขวานั่นเลย

สำหรับคู่ 2 อาร์เจนติน่า เกือบไม่ได้มาตามนัดเพราะใครเห็นก็คิดว่าแบเบอร์ ทันทีที่เห็น ลีโอเนล เมสซี่ ยิงจุดโทษนาที 73

ทั้งนี้ทั้งนั้นยกความดีความชอบให้ หลุยส์ ฟานกัล ไปเต็มๆหลังพี่แกเปิดตัวสูตร “วิมเบิลดัน” บอมบ์รัวๆให้ตัวสำรองตัวใหญ่ๆที่ส่งลงมาอย่าง เวกฮอร์สต์ ที่สูงเกือบ 2 เมตร (197 ซม.) หรือ ลุค เดอ ยอง (188) มาโหม่งอย่างเดียว แถม เวอร์กิล ฟาน ไดคจ์ ไปยืนเป็นกองหน้าช่วยอีกแรง

“ฟ้าขาว” ป่วนหนักสิครับเพราะนักเตะในทีมส่วนใหญ่ตัวเล็กอยู่แล้ว เรียกว่าต้องให้ตัวขยันๆไปไล่เพรสใส่ เนเธอร์แลนด์ ที่กำลังจ้องจะเปิดยาว (ฮาา)

ถึงแม้ผมและใครอีกหลายๆคนเอาใจช่วย ลีโอเนล เมสซี่ ให้ถึงแชมป์บอลโลกที่เป็นหนสุดท้ายของแกแต่เหตุการณ์เดือดระหว่างเกมทำให้ผมดันไปเอาใจช่วย “อัศวินสีส้ม” แทน

ผมไม่ชอบสิ่งที่ เอมิเลียโน่ มาร์ติเนซ ทำใส่ เดอ ยอง ที่เป็นจุดเริ่มต้นการยั่วยุหลัง อาร์เจนติน่า นำ 2-0

การยั่วยุตรงนี้เองครับที่ทำให้ เนเธอร์แลนด์ มีลูกฮึดโดยเฉพาะเหตุการณ์ “สุดถ่อย” ของ เลอันโดร ปาเรเดส ที่พยายามทำหน้าที่ตัดเกมแทน เดอ ปอล ที่ถูกถอดออกไป

ปาเรเดส ทำสิ่งที่เกินขอบเขตของนักกีฬาที่มีเกียรติซึ่งควรสู้กันในสนามและอยู่ในกรอบของเกมกีฬา

การวิ่งมาหวดบอลอัดใส่ซุ้มม้านั่งสำรองของฝั่ง เนเธอร์แลนด์ ทำให้เกือบมีมวยหมู่และหลังเหตุการณ์นี้จู่ๆผมข้ามฝากมาเชียร์ทีม ลุงกาว จนยิง 2 ลูกตามตีเสมอ

คู่นี้มีความหลังคับแค้นมาตั้งแต่บอลโลก 1998 (เนเธอร์แลนด์ ชนะ 2-1) และ 2014 (อาร์เจนชนะดวลจุดโทษ) เวทีนี้จึงเป็นที่สะสางชำระหนี้ให้รู้เรื่องกันไป

อารมณ์ของนักเตะทั้ง 2 ทีมหลังเหตุการณ์ของ ปาเรเดส จุดติดเกือบฟาดปากกันอยู่หลายช่วง ไม่ว่าจะตอนจบ 90 นาทีที่บางคนกรูเข้าหากัน, ระหว่างดวลจุดโทษยังมีใบเหลือง จบเกมเอากันต่ออีก ไม่เว้นแม้กระทั่งตอน เมสซี่ ให้สัมภาษณ์

ใครสนใจไปหาดูคลิปตามทวิตได้ครับ มีไหลมาเรื่อยๆ เป็นบอลที่เดือดเลือดพล่านที่แท้ทรู

สรุปแล้วเกมนี้มีใบเหลือง 14 ใบและหลังดวลจุดโทษมีอีก 2 เหลือง 1 แดง

เนเธอร์แลนด์ ตกรอบไม่มีปัญหาอะไรแต่คนที่อยู่ต่ออย่าง อาร์เจนฯ นี่แหละครับที่ต้องแก้ไขหน้างานกันต่อเพราะ มาร์คอส อคูญ่า ติดโทษแบน

ถามว่า อคูญ่า เก่งขนาดที่ว่าพอติดโทษแบนแล้ว “ฟ้าขาว” แย่เลยเหรอ คือต้องบอกว่า อาร์เจนฯ ชุดนี้มีจุดเด่นที่ความขยันวิ่งไม่มีหมดทั้ง อคูญ่า,เดอ ปอล และมดงานอีกหลายๆคนไม่เสพก็ต้องขาย

อาร์เจนติน่า ชุดนี้เหมือนปีก่อนที่ได้แชมป์โคป้าเลยครับ นักเตะในทีมทุกๆคนพร้อมสละชีพเพื่อ เมสซี่

ยิ่ง บราซิล อริเก่าตลอดกาลร่วงตกรอบไปแล้วตอนนี้ชาว อาร์เจนไตน์ มองถึงเรื่องฟ้าลิขิตเปิดทางให้คว้าแชมป์โลกกันไปแล้ว

เหนืออื่นใดยังมีรอบรองฯขวางอยู่ งานนี้ต้องยืมมือ เมสซี่ อีกครั้งเพื่อยับยั้งวงจร “ตบทรัพย์” ดวลจุดโทษของ โครเอเชีย กันแล้วล่ะครับ…

สถิติ สถิติ สถิติ

ไม่มี

ที่มา: soccersuck

ความคิดเห็น

ความคิดเห็น

จำนวนคนดู: