ขี้หยด 5 เกมนรกชี้ชะตา “พอช”

ขี้หยด 5 เกมนรกชี้ชะตา “พอช”

การแพ้คาบ้าน เบรนท์ฟอร์ด 2-0 ทำให้สถานการณ์ของ เมาริซิโอ พอเชตติโน่ ตายไปแล้วครึ่งตัวก็ว่าได้

เชลซี แพ้คาบ้าน 3 จาก 6 นัด อันดับร่วงไปอยู่ที่ 13 เป็นตัวเลขที่ไม่มีใครรับได้และซีซั่นนี้กำลังเดินทางเข้าสู่เดือน 11 ที่เริ่มเข้มข้นมากขึ้น

การไม่มีเกมยุโรปนั่นหมายถึงเวลาเตรียมทีมเหลือๆทำให้ความคาดหวังที่ทีมควรลงตัวมากกว่านี้ (เหมือน สเปอร์ส)

แต่เห็นได้ชัดเลยว่า “พอช” แก้ปัญหาและเข็นทีมได้ไม่ไกลไปกว่านี้แล้ว

ความยุ่งเหยิงของปัญหาคือ “สิงห์บลู” จนถึงนัดที่ 13 การครองเกมเข้าทำใส่ฝ่ายตรงข้ามไม่เคยเป็นรองใครเลย

แต่การเข้าทำ+จบสกอร์ยังเป็นตัวถ่วงความเจริญที่ทำให้ เชลซี ผลงานต่ำเตี้ยเรี่ยดินเหมือนจะฟื้น (ชนะรวด 2 นัด) แต่ก็วนลูปกลับมาเหมือนเดิม

ด้วยนักเตะที่ส่วนใหญ่เป็นทีมพลังหนุ่ม “ความเด็ดขาด/สม่ำเสมอ” จึงยังเป็นปัญหาร่วมกับจุดอื่นๆที่พัวพันโยงกันไปหมด (ผู้เล่นเจ็บ, การโรเตชั่นตำแหน่ง)

ถ้าจะบอกว่าแพ้เพราะเกมนี้ขาด เอ็นโซ่ จอมทัพแดนกลางก็ฟังไม่ขึ้นเพราะเห็นกันชัดๆว่าตัวที่ลงสนามเล่นๆกันอยู่เพียงพอแล้วที่จะเอาชนะในเกมนี้ได้

ช่วง 30 นาทีแรกพวกเขาพับสนามใส่ “ผึ้งน้อย” ข้างเดียว เรียกว่าทีมเยือนหัวซุกหัวซุนเตะบอลทิ้งโงหัวไม่ขึ้น

ลูกยิงชนสามเหลี่ยมของ มาดูเอเก้ ตั้งแต่นาทีที่ 10 , ลูกยิงไกลเข้ามุมแต่ถูกเซฟของ กัลลาเกอร์ ในนาที 12 และลูกโฉบยิงจ่อๆ 6 หลาของ คูคูเร่ญ่า (เข้าเท้าขวา) เปลี่ยนเป็นประตูไม่ได้แม้แต่ลูกเดียว

เป็นช่วงเวลา “ทอง” ที่ท้ายที่สุดเจ้าถิ่นได้มาแค่ % การครองบอลและเสียงเฮของแฟนๆเท่านั้นเอง

ก่อนมาเจอทีเด็ดทีมเยือนหลังพักครึ่งมาแค่ 10 กว่านาที เป็นการเล่นที่ไม่มีอะไรซับซ้อน แทงบอลไปเส้นหลังเปิดย้อยเสาสอง โหม่งจ่อๆ เป็นประตู!!

ถามว่า play นี้ทีมเยือนทำได้อย่างเฉียบขาดก็จริงแต่ส่วนนึง เชลซี ไปช่วยเขาทางอ้อมด้วย

1. เกมรับโคตรกาก ปล่อยให้ คูคู โดนรุม 2-1 ใครจะไปคุมอยู่

2. ตัวอื่นไปกองกันอยู่ในเขตโทษกันหมด กว่า กัลลาเกอร์ จะปรี่เข้ามาหา เอ็มโบโม่ (คนครอส) ก็ช้าไปแล้ว

3. ดิซาซี่ ยืนเงยหน้าเพื่อที่จะรอเล่นด้วยเท้ามากกว่าจะปรี่เข้าโหม่ง บอลโด่งขนาดนั้นรอตกก็เสร็จ พินน็อค ที่โถมมาโหม่งทั้งตัวสิครับ

นอกจากนี้การจัดตัวสลับตำแหน่งนักเตะจนมั่วไปหมดเป็นอีกจุดที่ พอช กำลังถูกวิจารณ์ไม่แพ้กัน เรียกว่าปรับเปลี่ยนหาความสมดุลให้ทีมไม่ได้เลย

หรือพูดจริงๆตัวเองยังไม่รู้เลยว่าใครควรเล่นตำแหน่งไหนทีมถึงได้ผลประโยชน์สูงสุด

อย่างที่ผมเคยแตะไปแล้วหลังเสมอ อาร์เซนอล เมื่อสัปดาห์ก่อนว่า “สิงห์” พ้นเกมกับ เบรนท์ฟอร์ด จะเข้าสู่ช่วงโปรแกรม “โหดสัส” 5 เกมถัดไปเจอทั้ง สเปอร์ส, แมนฯซิตี้, นิวคาสเซิ่ล, ไบรท์ตัน และปิดท้ายด้วย แมนฯยูฯ

เกมง่ายที่สุดชิงแพ้คาบ้านไปแล้ว การบ้านกองโตที่เหลืออยู่แสนสาหัสจริงๆครับ แค่คิดว่าจะผ่านไปยังไงก็ปวดหัวแทนแล้ว

ครับถ้าผลการแข่งขันเป็นไปตามคาดผมอยากให้จับตาดูกลางเดือนพฤศจิกายนนี้ที่จะมีเบรกทีมชาติวนเวียนกลับมาอีกรอบ

เป็นช่วงเวลาที่หลายสโมสรมักวางเดดไลน์ก่อนตัดสินใจเปลี่ยนแปลงโค้ชกันบ่อยที่สุด

แฟน เชลซี เคยร้องระงมกับ แกรห์ม พ็อตเตอร์ มาแล้วแต่กับ พอช หลายคนบอกอนาถหนักกว่าหลายเท่า

ความหวังเล็กๆที่พอจะเอาตัวรอดจากวิกฤตินี้ไปได้คือ “สิงห์” มักมี “บัฟ” เมื่อต้องเจอกับทีมใหญ่เช่นฟอร์มอันสุดยอดในเกมพบ ลิเวอร์พูล และ อาร์เซนอล

แต่ก็ต้องถามอีกว่าถ้าทำได้แบบนั้นแต่จบเกมมีกี่แต้ม ถ้าบทสรุปยังเหมือนเกมแพ้ เบรนท์ฟอร์ด ก็ลากันแค่นี้ครับ…

สถิติ สถิติ สถิติ

เชลซี แพ้คาบ้าน 8 เกมในพรีเมียร์ลีกในปี 2023 (ชนะ 3 เสมอ 7) ถือเป็นความพ่ายแพ้มากครั้งที่สุดในปฏิทินเดียวนับตั้งแต่ปี 1986 (10 นัด)

“สิงห์” แพ้ 5 จาก 7 เกมหลังสุดในศึก ลอนดอน ดาร์บี้ ในพรีเมียร์ลีก (ชนะ 1 เสมอ 1) เรียกว่าตัวเลขที่แพ้เทียบเท่าตอนลงเล่น 19 เกมก่อนหน้านี้เลยทีเดียว (ชนะ 10 เสมอ 4)

เบรนท์ฟอร์ด เป็นทีมแรกในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีกที่บุกมาเอาชนะ เชลซี ถึง สแตมฟอร์ด บริดจ์ 3 ฤดูกาลติด

นอกจากนี้ “ผึ้งพิฆาต” ชนะลอนดอน ดาร์บี้ นัดเยือน 4 เกมติดเป็นหนแรกในประวัติศาสตร์สโมสรของพวกเขาโดยตลอด 13 เกมหลังสุดพวกเขาไม่แพ้คู่ปรับร่วมเมืองทีมอื่นๆเลย (ชนะ 7 เสมอ 6)

ธิอาโก้ ซิลวา ลงตัวจริงในพรีเมียร์ลีกนัดที่ 87 เป็นนักเตะ outfield อายุ 36+ ที่ลงเล่นมากที่สุดในประวัติศาสตร์รายการนี้ไปเรียบร้อยแล้ว

ไบรอัน เอ็มโบโม่ มีส่วนร่วมกับ 5 ประตูในลีกในการเจอกับ เชลซี (2 ประตู 3 แอสซิสต์) นับว่ามากที่สุดเหนือกว่าทุกทีมที่เขาเจอมาเลยทีเดียว

ที่มา: soccersuck

ความคิดเห็น

ความคิดเห็น

จำนวนคนดู: