มาตรฐาน “หงส์” ไปสบายอีก 1 ถ้วย

ไม่เซอร์ไพรซ์, ไม่เสียใจและไม่มีอารมณ์ค้างคาใดๆสำหรับการตกรอบ เอฟเอ คัพ ของ ลิเวอร์พูล ด้วยน้ำมือทีมคุณภาพอย่าง ไบรท์ตัน

ถ้าแฟน “หงส์แดง” ที่ยอมรับความจริงต่อสถานะของทีมตัวเอง(แบบจริงจังไม่ใช่หลอกตัวเอง) จะมีความรู้สึกแบบผมข้างต้น

แต่ถ้ายังอยู่ในห้วงของภาพเก่าๆหรือพูดง่ายๆคือ “จมไม่ลง” การระบายออกจะรุนแรงเหมือนวันที่ผมด่ายับวันที่เสมอ วูลฟ์แฮมป์ตัน 1-1

การแพ้ในลีก 3-0 ที่ เอแม็กซ์ สเตเดี้ยม ชี้ชัดไปก่อนแล้วว่า “นกนางนวล” เป็นทีมที่ศักยภาพดีกว่า ระบบการจัดการดีกว่า “หงส์แดง” ไปนานแล้ว

โรแบร์โต้ เด แซร์บี้ กุนซือเขามองเป้าหมายในซีซั่นนี้ไปไกลถึงขนาดขอไป UCL แล้วด้วย

เล่นแบบฉบับของตัวเอง ต่อบอลจังหวะเดียว, ผู้เล่นโคตรนิ่งแม้โดนกดดัน, ความเข้าใจเกมและความเก่งของนักเตะที่ตัวต่อตัวเหนือกว่า (จนหงส์ต้องกดปุ่มมาช่วยรุม)

ถามผม…เกมนี้ลูกทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ดีขึ้นกว่าครั้งที่เจอกันพอสมควรนะ

ส่วนนึงเป็นเพราะเคยแพ้มาแบบหมดสภาพ ซึ่งจุดนี้อาจจะเป็นตรงที่ว่า ลิเวอร์พูล ไม่ได้มองว่าตัวเองเป็น “พี่เบิ้ม” และค่อนข้าง respect ไบรท์ตัน มากกว่าเดิม

รีแอคนัดนี้มันจึงออกมาดูตั้งใจและระวังตัวมากขึ้นเป็นเรื่องปกติ

แต่ท้ายที่สุดแล้วเมื่อเล่นไปเรื่อยๆคุณภาพของผู้เล่นและระบบทำให้เรามองเห็นภาพรวมว่าทีมไหนเป็นต่อทีมไหนเป็นรอง

ลิเวอร์พูล จึงหาทางออกด้วยการหาตัวช่วยคือเข้าบอลแรงเข้าบอลหนัก ไม่ต่างจากวันที่พวกเขาเหนือกว่าคู่แข่งจนโดนตามเก็บ ประมาณนั้นเลยครับ

โจ โกเมซ ระเบิดเวลาที่ไม่จำบทเรียนที่เคยถูก เวลเบค กระดกข้ามหัว มาวันนี้ภาพซ้ำๆเกิดขึ้นอีกครั้ง

แว่บแรกอยากด่าแต่คิดอีกทีก็คนมันมีคุณภาพแค่นี้เราจะไปคาดคั้นให้ดีกว่านี้ มันดูเป็นการขอที่มากไป สมองลูกมาได้เท่านี้คนเป็นพ่อแม่ทำใจอย่างเดียว

ต้องปรบมือให้ มิโตมะ ด้วยครับ วันนี้แกยิ้มอ่อนดูมั่นใจมากยามเจอกับ “หงส์” และครึ่งแรกน้องแกหลอกอย่างเนียนจน โกเมซ สไลด์ลม “เหวอ” ไปแล้วทีนึง (แต่ยิงติดบล็อก โกนาเต้)

วินาทีนี้เจ้าหนู สเตฟาน บายเซติช ลงเล่นอุ่นใจกว่ารุ่นพี่ทุกคนไม่ว่าจะ เฮนเดอร์สัน หรือ ฟาบินโญ่ (รายนี้ลงมาแป๊บเดียว บอลลั่น 1 ฟาว์ลน่าเกลียดอีก 1)

แต่เด็กก็คือเด็ก ขีดจำกัดมันก็ได้ประมาณนึงแถมจุดอ่อนของน้องมันคือโดนใบเหลืองง่ายและเร็วไป การเข้าบอลหลังจากนั้นจึงเสี่ยงมากไม่ได้

อย่างไรก็ตามดีขึ้นก็จริงแต่ภาพรวม “หงส์” ทำยังไงก็ยังสู้ไม่ได้….

1. น้อยครั้งมากที่ทีมเยือนจะแย่งบอลมาครอบครอง ถ้าจะได้บอลก็คือ ไบรท์ตัน ทำเกมรุกขึ้นมาถึงหน้าเขตโทษ ยิง, ครอส, เปิด, แทง นั่นแหละครับถึงจะได้มา

ซึ่งอันตรายมากเพราะเท่ากับว่าปล่อยให้คู่แข่งได้ขึ้นมาถึงแดนสุดท้ายแทบทุกครั้งโดยที่ไม่สามารถแย่งบอลมาได้

ผมเห็นมี บายเซติช เกือบๆคนเดียวที่แย่งมาได้ (2-3 หน)

2. การวิ่งเพรสของ ลิเวอร์พูล ใส่ ไบรท์ตัน โดนเขาเล่นลิงเคาะบอล วิ่งเหนื่อยเปล่า

กลับกัน “นกนางนวล” เพรสกลับคืนบ้าง แนวรับ “หงส์” ออกอาการและต้องโยนยาวทิ้งหรือไม่ก็ส่งยัดกลางส่งเดชโดนตัดได้ง่ายมาก

ทีมเยือนพอลืมตาอ้าปากสามารถตั้งเกมได้บ้างหากเจ้าถิ่นเพรสไม่สุดหรือประมาณจ้อกกิ้งไปคุมโซนบ้างเป็นบางครั้ง

พูดง่ายๆคือจะเพรสหนักๆเพื่อเอาบอลมาครองตอนไหนก็ได้ (ถ้าอยากทำ)

เอาแบบแฟร์ๆก่อน “หงส์” โดน มิโตมะ ยิงประตูชัยช่วงทดเจ็บนาทีที่ 2 พวกเขาควรตกอยู่ในสถานการณ์เสียเปรียบหลายต่อหลายครั้งไม่ว่าจะลูก 1-0 ที่ เกอิต้า แฮนด์บอลซึ่ง VAR มักริบประตู

ถ้าจำไม่ผิด โรแบร์โต้ ฟีร์เมียโน่ เคยทำแฮนด์บอลกลางสนามในการดวลกับ เอริค ดายเออร์ ของ สเปอร์ส และบั้นปลาย ลิเวอร์พูล ทำประตูได้แต่ถูกริบ

หรือจังหวะชนจากด้านหลังของ โกนาเต้ ในจังหวะที่ แม็ค อัลลิสเตอร์ หลุดเดี่ยว

รวมถึงการเข้าบอลสุดโหดของ ฟาบินโญ่ จากด้านหลังทั้งๆที่ลงมายังไม่ถึง 2 นาที

ทั้ง 2 เหตุการณ์ในวันอื่นๆอาจเป็นใบแดงไปแล้วด้วยซ้ำ

คุณภาพของนักเตะที่เก่งที่สุดของ ไบรท์ตัน คือ มิโตมะ กับ TAA มันห่างชั้นเกินไปจนผมนึกว่าอยู่คนละลีก

การประจันหน้าตัวต่อตัวแต่ปล่อยให้เขากระชากแว้บเดียวตามหลัง 2 ก้าว น่าเกลียดมากนะครับ

คุณว่า คริสเตียน เอริคเซ่น เร็วกว่า ริยาด มาห์เรซ ไหม ให้คะแนน speed อยู่ที่ 7/10 ด้วยซ้ำ

แต่ เอริคเซ่น ใช้ทางบอลดักทีเดียวบัง มาห์เรซ มิดด้ามในเกมที่ แมนฯยูฯ ชนะ แมนฯซิตี้

ถ้า TAA กับ มิโตมะ วิ่งตัวเปล่าไล่ควบเอาบอลแล้วโดนแซงจะไม่ว่าอะไรเลยแต่นี่แทบทุกครั้งยืนจ๊ะเอ๋จ้องตากันไม่กี่วิ เขาขยับพรวดเดียวต้องเอามือเอาศอกช่วยสกัด เห็นแล้วอนาถจริงๆ

เป็นทีมอื่นเขาหาแบ็คใหม่เป็นการเร่งด่วนแล้วครับ ระดับบอลพรีเมียร์ลีกโดนเผาเครื่องหยามกันขนาดนี้

ถ้ายังไม่คิดจะพัฒนาตัวเอง ความฝันที่เคยอยากเป็นกัปตันทีม “หงส์แดง” จะเป็นได้แค่ความฝันเน้อ

เอลเลียตต์ ยิงประตูในเกมนี้ได้ก็จริงแต่ปีกซ้ายยืนแล้วตายครับ ไม่ถนัดอย่างแรง แถมในหลายๆจังหวะไม่กล้าเล่นคืนหลังยันเต

ตรงจุดนี้ผมโทษ JK นะที่ดื้อและอีโก้จัดเกินไป แกไม่คิดจะลองขยับน้องจุกไปยืนขวา เอา ซาลาห์ ยืนหน้าเป้าและถ่างกัคโปมาฝั่งซ้าย

อะไรที่ไม่เวิร์คลองซักนิด 5-10 นาทีอะไรก็ว่าไปแต่แกทำสิ่งเดิมๆ (ที่มันไม่เวิร์ค) แล้วจะมาหวังผลลัพท์ใหม่มันไม่ทางเลย

ตอนนี้แดนกลางดูดีขึ้นกว่าต้นปีแต่ที่กู่ไม่กลับกลายเป็นแดนหน้า การหลุดเดี่ยวยิงแป๊กของ ซาลาห์ ที่เป็นตัวความหวังทำประตูเป็นแบบนี้ดูไม่ออกเลยว่า “หงส์” จะฟื้นตัวยังไง

ไม่ใช่แค่จังหวะยิง แต่จับบอลลั่น ส่งบอลเสีย การดูดบอลลงที่เคยเป็นขนมหวานตอนนี้ต้องคอยช่วยลุ้น

การสร้างทีมใหม่ถ้าตาไม่ถึงเล็งแต่ตัวดังๆหรือตัวที่พิสูจน์จนเก่งไปแล้ว มีเงินเท่าไหร่ก็ไม่พอหรอกครับ มันก็เกิดคำถามว่าทำไมทีมอื่นซื้อถูกๆแต่เก่งฉิบหาย

เห็นปัญหาหลายต่อหลายจุด ผมยังมั่นใจว่า “หงส์แดง” สามารถดำดิ่งได้มากกว่านี้แต่หนักแค่ไหนต้องติดตามกันต่อเองครับ…

สถิติ สถิติ สถิติ

ลิเวอร์พูล แพ้ 8 เกมในทุกรายการฤดูกาลนี้ (จาก 31 เกม) แพ้มากเป็น 2 เท่าของทั้งฤดูกาลที่แล้ว (แพ้แค่ 4 จาก 63 เกม)

ฮาร์วีย์ เอลเลีตต์ กลายเป็นนักเตะดาวรุ่งที่ยิงประตูมากที่สุด (ทุกรายการ) ในบรรดาตัวแทนจากทีมพรีเมียร์ลีกในซีซั่นนี้ (5 ประตู) โดยแข้งวัยละอ่อนคนสุดท้ายของ ลิเวอร์พูล ที่ยิงได้มากกว่าน้องจุกใน 1 ซีซั่นคือ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ปี 2013-14 (10 ประตู)

“แชมป์เก่า” เอฟเอ คัพ ตกรอบ 4 ใน 3 ฤดูกาลหลังสุดทั้งหมด ไม่ว่าจะ อาร์เซนอล 2020-21, เลสเตอร์ 2021-22 และ ลิเวอร์พูล 2022-23

คาโอรุ มิโตมะ ไม่ยิงประตูก็แอสซิสต์ใน 8 จาก 11 เกมที่ลงเล่นให้ ไบรท์ตัน ในทุกรายการ (6 ประตู,2 แอสซิสต์)

ที่มา: soccersuck

ความคิดเห็น

ความคิดเห็น

จำนวนคนดู: